พระมงคลราชมุนี นามเดิม สนธิ์ นามสกุลพงศ์กระวี นามฉายา ยติธโร ชาตะกาลกำเนิด ณ วันศุกร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ เบญจศก จุลศักราช 1265 เวลา 6.00 น. เศษตรงกับวันที่ 17 กรกฎาคม พุทธศักราช 2446 ณ ตำบลบ้านป่าหวาย กิ่งอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โยมผู้ชายชื่อสุข โยมผู้หญิงชื่อทองดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 11 คน คือ 1. นายบก ทิพโม (ถึงแก่กรรมไปแล้ว) 2. นางจอย วงศ์เทียน 3. นายพริ้ง พงศ์กระวี 4. นางเที่ยง ราชวงศ์ 5. นางเม้า จินนิฤทัย 6. พระมงคลราชมุนี (สนธิ์ พงศ์กระวี) 7. นางแสง จอนจา 8. นางฉ่ำ พงศ์กระวี 9. นางมี มิทิน 10. นางขาว สุขกสิกร 11. นายมงคล พงศ์กระวี
เมื่อเจ้าคุณมงคลราชมุนีมีอายุได้ 11 ขวบ ขณะนั้นโยมผู้ชายของท่านได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว โยมผู้หญิงของท่านจึงได้นำท่านมาฝากไว้กับพระภิกษุบุญ (หลวงตาบุญ) ซึ่งเกี่ยวเป็นญาติกับโยมผู้หญิงของท่านที่วัดสุทัศน์เทพวราราม คณะ 15 เพื่อให้ศึกษาอักขระสมัยฝ่ายบาลี ตามคตินิยมที่เล่าเรียนกันในยุคนั้น คือ เริ่มเรียนคัมภีร์สนธิ คัมภีร์นาม คือไปตามลำดับ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2458 อายุของท่านได้ 13 ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรโดยมี พระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปฺผโก) เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์เป็น พระครูปลัดสุวัฒนพรหมจริยคุณ ฐานานุกรมในพระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ ในระหว่างที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านก็ได้ศึกษาเล่าเรียนต่อไปตามปกติ จนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2459 ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่วัดกลางบางแก้ว ตำบลบางแก้ว อำเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม ในความปกครองของเจ้าคุณพุทธิวิถีนายก เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมในยุคนั้น ตราบจนถึง พ.ศ. 2460 ท่านจึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ ตามเดิม ในตอนที่ท่านจะกลับมานี้ ตามที่ท่านได้เคยกรุณาเล่าให้บรรดาศิษย์และผู้ที่คุ้นเคยฟังว่า ขณะเมื่อท่านเข้าไปกราบลา เจ้าคุณพุทธวิถีนายกเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ เห็นจะเป็นเพราะความกรุณาที่ท่านเจ้าคุณพุทธฯ มีต่อท่าน เพราะได้เอ่ยปรารภไม่อยากให้ท่านกลับกรุงเทพฯ เลย ท่านมีความประสงค์ที่ต้องการที่จะเอาไว้แทนตัวท่าน (เนื่องจากเจ้าคุณพุทธวิถีนายกองค์นี้เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเชิงวิปัสสนาธุระมีผู้เคารพนับถือท่านมาก) แต่เมื่อท่านเจ้าคุณพุทธฯ ท่านเห็นว่าไม่สามารถจะขัดขวางหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ได้ ก็จำเป็นต้องอนุโลมผ่อนตามพร้อมกับประสาทคำพยากรณ์ให้ไว้ว่า "คนลักษณะอย่างเณรมันต้องเป็นอาจารย์คน" ซึ่งคำพยากรณ์ของท่านเจ้าคุณพุทธฯ ดังกล่าวนี้ก็ได้ประสิทธิผลสมจริงทุกประการ
เมื่อท่านได้กลับคืนมาสู่วัดสุทัศน์ตามเดิมแล้ว ก็ได้ศึกษาธรรมวินัยต่อไปและได้เข้าสอบประโยคนักธรรมตรีได้ในปี พ.ศ. 2464 เข้าสอบประโยคนักธรรมโทได้ในปี พ.ศ. 2465 ถึงปี พ.ศ. 2466 ได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นที่ พระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมงคลราชมุนี (ผึ่ง ปุปฺผโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นที่ พระครูปลัดสุวัฒน พระพรหมจริยคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพิมลธรรม (นาค สุมมนาโค) เจ้าอาวาส วัดอรุณราชวราราม เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นที่พระเทพเวที และยังสถิตอยู่ที่วัดสุทัศน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เสด็จพระอุปัชฌาย์ขนานนามฉายาว่า "ยติธโร" หลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยตลอดมา ปี พ.ศ. 2467 สอบเปรียญธรรมได้ 3 ประโยค และเป็นพระเปรียญรุ่นสุดท้ายที่ได้รับพระราชทานนิตยภัตต์ เพราะปรากฏว่าต่อแต่ปีนั้นมา พระภิกษุสามเณรที่สอบเปรียญธรรมได้ แม้จนถึง 9 ประโยค ก็ไม่ได้รับพระราชทานนิตยภัตต์เลยจนตราบเท่าทุกวันนี้ ปี พ.ศ. 2468 สอบเปรียญธรรมได้ 4 ประโยค พร้อมทั้งได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูธรรมรักขิต ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุฒาจารย์ และในปีนั้นเองก็ได้ขึ้นครองเป็นเจ้าคณะ 13 แทนเจ้าคณะเดิมที่ถึงแก่มรณภาพ ปี พ.ศ. 2469 ท่านได้ประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก คือถูกคนวิกลจริตฟันท่านด้วยมีดตอก ได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 เวลาประมาณ 4.00 น. เศษ ผลจากการถูกทำร้ายอย่างสาหัสในคราวนั้น ทำให้ท่านอาพาธหนักไปพักหนึ่ง ประมาณสามเดือน ได้ขึ้นไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านเดิมของท่าน เมื่อหายจากการอาพาธแล้วได้กลับคืนมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ตามเดิม และเมื่อมาถึงได้ขึ้นไปเฝ้าเสด็จพระอุปัชฌาย์ เสด็จทรงรับสั่งว่า "อ๋อ! มหาสนธิ์ เธอหายดีแล้วหรือ" แล้วท่านก็รับสั่งเรียกให้เข้าไปใกล้ ทรงจับศีรษะท่านไว้แล้วทรงเป่าให้ 3 ครั้ง พร้อมกับทรงรับสั่งต่อไปอีกว่า "ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่มีอะไรอีกแล้ว" คำรับสั่งประสาทพรของเสด็จในครั้งกระนั้นเป็นมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองป้องกันสรรพภัย ให้แก่ท่านตลอดมา เพราะนับแต่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าท่านได้รับอันตรายที่ร้ายแรงเลยตราบเท่าถึงกาลมรณภาพ
อนึ่ง ในปีนั้นเองท่านได้เลื่อนตำแหน่งฐานานุกรมจากพระครูธรรมรักขิต เป็นพระครูวิจารณ์โกศล และเลื่อนจากพระครูวิจารณ์โกศล เป็นพระครูวิจิตร์สังฆการ ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุฒาจารย์ ปี พ.ศ. 2470 สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยคปี พ.ศ. 2471 ได้เลื่อนตำแหน่งฐานานุกรมจากพระครูวิจิตร์สังฆการเป็น พระครูวินัยธร ฐานานุกรมในสมเด็จพระวันรัตปี พ.ศ. 2474 สอบได้นักธรรมเอกและเปรียญธรรมเอก 7 ประโยคแล้ว ท่านก็หยุดเข้าสอบประโยคต่อๆ ไปอีก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงแม้ว่าท่านจะปลงใจหยุดไม่เข้าสอบประโยคต่อๆไปอีก แต่ท่านก็ยังคงศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในพระไตรปิฎกอยู่เสมอ มิได้ว่างเว้นทอดทิ้งเลย ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาในศาสตร์ต่างๆ อีกด้วย ขึ้นแรกหันเข้าศึกษาค้นคว้าวิชาแพทย์แผนโบราณพยายามรวบรวมตำราแพทย์เอาไว้ได้เป็นจำนวนมาก พร้อมกันนั้นท่านก็ได้ประกอบยาแก้โรคขึ้นไว้หลายขนาน เพื่อใช้บำบัดโรคภัยไข้เจ็บจากผู้ที่มาขอรับการรักษา โดยมิได้คิดมูลค่าแต่ประการใดเลย ยาที่ท่านประกอบขึ้นแต่ละขนานปรากฏว่ามีสรรคุณใช้บำบัดโรคได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ก็เพราะผู้ที่มาขอเอาไปใช้นั้นต่างประจักษ์ผลความศักดิ์สิทธิ์ของยาที่ท่านประกอบขึ้นแทบทุกคน นอกจากวิชาแพทย์แล้วท่านยังสนใจในวิชาโหราศาสตร์ ทั้งในด้านพยากรณ์ด้วยศาสตร์ประเภทนี้เองนับว่าท่านได้สร้างเกียรติประวัติไว้ในวงจักรวาลโหรไทยอย่างเลอเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคำนวณฤกษ์ยามเพื่อประกอบพิธีการมงคลต่างๆ ฤกษ์ของท่านที่คำนวณให้ไปทุกคราว ปรากฏว่าให้ผลดีแก่เจ้าของงานแทบทุกราย และบางครั้งยังสำแดงนิมิตดีให้ประจักษ์ทันตาเห็นเป็นหลายครั้ง ดังเช่นเมื่อคราวให้ฤกษ์ยกช่อฟ้าที่วัดสุทัศน์ฯ เป็นต้น ในระยะหลังเมื่อใกล้กาลมรณภาพของท่าน เกียรติคุณในการคำนวณฤกษ์ได้แพร่เกียรติกำจายไปทั่วทิศานุทิศ ได้มีผู้ที่จะประกอบพิธีการมงคลต่างๆ พากันมาขอร้องให้ท่านช่วยคำนวณฤกษ์ให้แทบทุกเมื่อเชื่อวันและมากรายด้วยกัน ซึ่งท่านจำต้องใช้สมองอย่างหนักหน่วงในการนี้ อันเป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้พยาธิเข้าครอบงำท่าน ศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ท่านเชี่ยวชาญเจนจบเป็นพิเศษ แทบจะหาผู้เสมอเหมือนได้ยากคือ "ไสยศาสตร์" วิทยาการอันลี้ลับที่กล่าวถึงการใช้เวทมนตร์คาถา ท่านสนใจในวิชาประเภทนี้มาก ดูเหมือนว่าเริ่มแต่เป็นสามเณรเมื่อครั้งออกไปอยู่วัดกลางบางแก้ว กับท่านเจ้าคุณพุทธวิถีนายก แต่ทั้งนี้มิใช่ว่าจะเชื่อถืออย่างงมงายโดยปราศจากเหตุผล ท่านได้พยายามค้นคว้าหาเหตุที่มาของมนต์และคาถาต่างๆ ได้โดยละเอียดถูกต้องเรียบร้อยและพิสดารยิ่ง จบแทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีมนต์หรือคาถาบทใดเลย ที่ไม่เคยผ่านสายตาของท่าน พร้อมทั้งการค้นคว้าในหลักวิชาเวทมนตร์คาถานี้ ท่านก็ได้เพียรบำเพ็ญอบรมจิตใจของท่านในทางวิปัสสนาธุระควบไปด้วย เรื่องความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ก็ได้เคยสำแดงออกให้เห็นประจักษ์แก่ตาแก่ใจ ในเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์โดยทั่วกันทุกคน จนแทบจะกล่าวได้ว่าสืบเบื้องหน้าต่อไปจะหาพระมหาเถราจารย์เยี่ยงท่านอีก ก็เปรียบเสมือนไปเดินงมเข็มในก้นท้องทะเลฉะนั้น
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2481 ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ "พระศรีสัจจญาณมุนี" ซึ่งพระราชาคณะตำแหน่งนี้ มิได้เคยแต่งตั้งให้แก่พระเถระรูปใดเลยในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ และดูเหมือนว่าจะเคยมีการแต่งตั้งกันบ้างก็แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเท่านั้น เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 ท่านได้ย้ายจากคณะ 13 มาขึ้นครองคณะ 11 ดำรงตำแหน่งพระราชาคณะที่พระศรีสัจจญาณมุนีสืบเรื่อยมาเป็นเวลา 13 ปี วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2493 ท่านจึงได้เลื่อนจากตำแหน่งพระราชาคณะสามัญ ขึ้นเป็นพระราชาคณะเสมอชั้นราช มีราชทินนามตามสำเนาที่จารึกในสัญญาบัตร ดังนี้
|