ปัจจุบันนี้ คนไทยเรานอกจากจะกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปและพระสงฆ์แล้ว ก็ยังมีที่พึ่งทางใจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอื่นอีกด้วย ดั่งเช่น “ พระตรีมูรติ ” เทพเจ้าแห่งศาสนาพราหมณ์ จึงขอนำเรื่อง “พระตรีมูรติ”(Trimurti) มาเล่าสู่กันฟัง แต่โบราณมา “ศาสนาฮินดู” (Hinduism) ถือกำเนิดโดย “ชาวอารยัน” เมื่อ 1,000 ปี ก่อนพุทธกาล หรือราว 3,500 กว่าปีมาแล้ว “ชาวฮินดู” ได้นำลัทธิพระเวทมาผสมกับคติพื้นเมืองของ “อินเดียโบราณ” ซึ่งเชื่อกันว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและยกย่อง “พราหมณ์” ในฐานะผู้สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ให้เป็นชนชั้นสูงสุดของสังคม ด้วยเหตุนี้ศาสนาฮินดูจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ศาสนาพราหมณ์” โดยเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพสูงสุดมี 3 องค์ คือ
1. พระพรหม (the god Brahma) นามอื่นที่ใช้กันมาก คือ ธาดา (ผู้ทรงไว้) โลเกศ (จอมโลก) และ ปรเมษฐ์ (เป็นใหญ่ในสวรรค์) ทรงถือกำเนิดขึ้นเมื่อ พระอาตมภู (ผู้เกิดเอง) ได้สร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นจากความว่างเปล่า เมื่อทรงหว่านพืชลงในน้ำ ก็บังเกิดไข่ทองขึ้น พอไข่ทองแตกก็ปรากฏองค์พระพรหมอยู่ภายใน มเหสีของพระองค์คือ พระสรัสวดี พระพรหมทรงมีวรกายสีแดง มีสี่พักตร์ แปดกรรณ (หู) สี่กร (บ้างว่า 8 กร) ถือธารพระกร ช้อน (สำหรับหยอดเนยในไฟ) หม้อน้ำ คัมภีร์ มีประคำคล้องศอ ถือธนู มีหงส์เป็นพาหนะ พระพรหมทรงกอปรไปด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทางพระพุทธศาสนาจึงเรียกว่า พรหมวิหาร คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม
|
|
|
|
2. พระอิศวร (the god Siva) นามอื่นมีมากมาย อาทิ พระมหาเทพ พระตรีโลจนะ (สามตา) นิลกัณฐ์ (คอดำ) จันทรเศขร (เอาพระจันทร์เป็นปิ่น) ตำนานกำเนิดหนึ่งกล่าวว่า ทรงเป็นโอรสของ พระกัศยป กับ นางสุรภี แต่บางตำนานอ้างว่า ทรงสร้างพระองค์ขึ้นเองจากพระเวทและพระธรรม ทรงมีมเหสีชื่อ อุมา หรือ บารพตี พระอิศวรมีสีกายขาว มีสามเนตร (เนตรที่ 3 อยู่กลางหน้าผาก) มีรูปพระจันทร์ครึ่ง ซีกอยู่เหนือเนตรที่ 3 เกศามุ่นเป็นชฎา รุงรัง มีประคำกะโหลกหัวคนคล้องศอ สังวาลเป็นงู ศอสีนิล นุ่งหนังเสือหนังช้าง หรือหนังกวาง สถิตอยู่บนเขาไกรลาศ ในเทือกเขาหิมาลัย มีตรีศูลเป็นอาวุธ ถือคทายอดหัวกะโหลก ถือสังข์ ฯลฯ มีวัวนนทิเป็นพาหนะ พระอิศวรทรงมีพระทัยกรุณา ให้พรแก่ผู้ขอโดยง่าย นอกจากนี้ยังทรงเป็นผู้ล้าง ผู้ทำลาย (เพื่อให้ไปถือกำเนิดใหม่) เป็นผู้สร้างดังสัญลักษณ์ เป็นรูปศิวลึงค์
|
|
|
|
3. พระนารายณ์ (the god Vishnu) นามอื่นๆ คือ วิษณุ พิษณุหริ (ผู้สงวน) อนันตไศยน (นอนบนอนันตนาค) ตำนานกำเนิดของพระนารายณ์ มีว่า หลังจากพระอิศวรทรงบังเกิดขึ้นจากพระเวทพระธรรมแล้ว ก็ทรงสร้างผู้ช่วยขึ้น โดยเอาพระหัตถ์ ซ้ายลูบพระหัตถ์ขวา ปรากฏเป็นองค์พระนารายณ์ขึ้น และไปประทับอยู่ในเกษียรสมุทร ยามใดที่ทุรยุคพระนารายณ์ก็มีหน้าที่ไปปราบระงับทุกข์ เรียกว่า อวตาร ทรงมีพระมเหสีนามว่า พระลักษมี และมีครุฑเป็นพาหนะ รูปโฉมของพระนารายณ์ที่จิตรกรนิยมเขียน จะเป็นบุรุษหนุ่ม กายสีนิลแก่ อาภรณ์อย่างกษัตริย์ เสื้อทรงสีเหลือง มีสี่กร ทรงตรีคทา จักร สังข์ บ้างว่าทรงธนู ดอกบัว หรือพระขรรค์
|
|
|
|
เทพเจ้าทั้งสามองค์ คือ พระพรหม พระอิศวร และพระนารายณ์ รวมเรียกว่า “พระตรีมูรติ” (Trimurti) หากจะกล่าวถึงที่มาของการกำเนิด “พระตีมูรติ” ก็มีกล่าวกันไว้หลายตำนานต่างๆกัน เช่น ในตำนานที่เกี่ยวข้องกับ เทพทัตตาเตรยะ อันเป็นอวตารของมหาวิษณุ (พระนารายณ์) มี ฤาษี อัตริ เป็นบิดา และนาง อนุสูยา เป็นมารดา มีดังนี้...
ขณะที่ฤาษีนามว่า อณิมาณฺฑวฺย (อะ-นิ-มาน-ดับ-วยะ) นั่งสมาธิอยู่ โจรกลุ่มหนึ่งได้หนี เจ้าหน้าที่ผ่านมาทางนั้น ตำรวจหลวงที่ติดตามโจร ได้สอบถามถึงโจรกับฤาษี ฤาษีอยู่ในสมาธิจึงไม่ยอมปริปากใดๆ ตำรวจหลวงเข้าใจว่าฤาษีนั่นเองเป็นโจร จึงจับมัดมือมัดเท้านำไปเฝ้าพระราชา พระราชาทรงตัดสินใจประหารชีวิตฤาษี โดยใช้วิธีเสียบด้วยตรีศูล เจ้าหน้าที่ได้ทำตามนั้น และนำฤาษีที่ถูกเสียบ แต่ยังไม่ตายไปปักไว้บนยอดเขา ในระหว่างนั้น นางศีลวตี ซึ่งเป็นภรรยาที่ ซื่อสัตย์ต่อสามีอย่างยิ่ง เดินทางผ่านมาทางนั้นโดยให้สามีชื่อ อุครศรวัส (อุค-คระ-ศระ-วัส) ขี่คอ เพื่อไปยังบ้านของหญิงแพศยา ขณะที่ฝนตกทำให้ ทางเดินลำบาก อุครศรวัสได้ด่าทอฤาษีหาว่าเป็นตัวการทำให้ฝนตก ฤาษีโกรธจึงสาปให้ศีรษะของอุครศรวัสแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ศีลวตีได้ยินคำสาป นางมีความซื่อสัตย์ต่อสามีมาก จึงตั้งจิตอธิษฐานไม่ให้พระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งคำอธิษฐานก็ได้ผล เมื่อพระอาทิตย์ไม่ขึ้น ทำให้เดือดร้อนไปทั่วจักรวาลรวมถึงเทวดา จึงพากันไปเฝ้าพระพรหม แต่พระพรหมช่วยอะไรไม่ได้ จึงพากันไปเฝ้าพระศิวะ พระศิวะก็ช่วยไม่ได้ จึงพากันไปเฝ้าพระมหาวิษณุ จากนั้น พระตรีมูรติ (พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ) จึงพากันไปหานางอนุสูยา เพื่อให้ นางขอร้องศีลวตีถอนคำอธิษฐาน นางก็ยอมตามที่ขอ และเทพตรีมูรติได้ให้คำมั่นสัญญาว่า อุครศรวัสจะไม่ตาย เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นตามปกติ เทพตรีมูรติมีความยินดีจึงให้นางอนุสู ยาขอพร นางจึงขอพรให้เทพทั้งสามมาเกิดเป็นลูกของนาง เทพตรีมูรติจึงให้ พรตามที่ขอ พระวิษณุจึงเกิดจากนางเป็นพระทัตตาเตรยะ พระศิวะเป็น ทุรวาสัส และพระพรหมเป็นพระจันทร์ พระทัตตาเตรยะ บำเพ็ญตบะตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และได้เป็นฤาษีทัตตาเตรยะ
โดยเหตุนี้คนโบราณจึงนิยมสร้างรูปปั้นหรือรูปหล่อของ “พระตรีมูรติ” เพื่อเป็นการแสดงออกทางรูปธรรมที่ ประชาชนทั่วไปมีต่อสิ่งสูงสุด ทั้งนี้ เชื่อกันว่าหากบูชา “พระตรีมูรติ” ก็จะได้รับความอุดมสมบูรณ์ ทั้งในชีวิต ความรัก และการงาน เพราะเทพทั้ง 3 เป็นผู้บันดาลความเป็นไปของมวลมนุษย์ในโลก คือ องค์พรหม-เป็นผู้ให้กำเนิดกำหนดชีวิตแต่ละคนขึ้นมา องค์วิษณุนารายณ์-เป็นผู้คอยปกป้องดูแลความเป็นไปในโลก องค์ศิวะ-เป็นผู้กำหนดโชคชะตามนุษย์
|
|
|
|
นอกจากนี้ยังมีตำนานที่เกี่ยวข้อง กับเทพตรีมูรติอีกว่า แต่เดิมนั้นเทพกับอสูรเป็นอริต่อกัน แต่การต่อสู้กับเหล่าอสูรซึ่งมีอิทธิฤทธิ์มาก เทวดาทั้งหลายพากันวิตกว่าจะพ่ายแพ้ จึงนำเรื่องไปปรึกษาพระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม เทพทั้ง 3 องค์ จึงตกลงกันทำ “พิธีกวนเกษียรสมุทร” เพื่อให้ได้น้ำอมฤตซึ่งใครดื่มจะไม่ตาย และชวนอสูรให้มาร่วมด้วย โดยสัญญาว่า จะให้ดื่มน้ำอมฤต พิธีกวนเกษียรสมุทรจึงเริ่มขึ้น โดยใช้เขาพระสุเมรุเป็นไม้กวนทะเลเกษียรสมุทร และมีพระยาวาสุกรี (พญานาค) เป็นเชือกพันรอบเขาพระสุเมรุ และเหล่าเทวดา-อสูร ต่างก็รวมใจกันเข้าชักสายเชือก โดยเทวดาวางแผนให้พวกอสูรดึงด้านหัวพญานาค พอฉุดนานเข้าพญานาคเกิด ความร้อนและเหน็ดเหนื่อย จึงพ่นพิษโดนเหล่าอสูรจน ร่างกายมีสีดำ ส่วนเหล่าเทวดาดึงหางพญานาคมีฝนโปรยปรายเย็นชุ่มฉ่ำ การกวนเกษียรสมุทรต้องใช้เวลาเป็นแรมปี เหตุนี้องค์นารายณ์ทรงเล็งเห็นว่าหากทำไปเรื่อยๆ อาจทำให้เขาพระสุเมรุทะลุพื้นทะเลลงไป จึงทรงอวตารแปลงกายเป็นเต่ายักษ์ลงไปรองรับ แผ่นโลกไว้ เวลาผ่านไปถึง 1,000 ปี การกวนเกษียร สมุทรสำเร็จ เหล่าอสูรกรูกันเข้ามาแย่งดื่ม องค์ นารายณ์จึงแปลงร่างเป็นสาวงามล่อเหล่าอสูรไปอีกทางหนึ่ง เทวดาจึงได้ดื่มน้ำอมฤตกันทั่วหน้า ฝ่ายอสูรมีเพียง ราหู ดื่มไปได้ 1 อึก พระอาทิตย์ และพระจันทร์เห็นเข้า จึงฟ้ององค์นารายณ์ พระองค์ จึงขว้างจักรตัดกายราหูเป็น 2 ส่วน แต่ไม่ตาย จึงเป็นตำนานเกิดปรากฏการณ์สุริยคราสและจันทรคราสในปัจจุบัน
ความศรัทธาใน “ตรีมูรติ” ได้สืบทอดผ่าน ยุคผ่านสมัย ทั้งในอินเดีย เขมร พม่า ลาว และไทย ได้รับการเทิดทูนจนกลาย เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของการประทานความรัก และความสมหวัง ให้มวลมนุษย์ ผู้โหยหาความรักไปแล้วในปัจจุบัน แม้กระทั่งใน วันวาเลนไทน์ อันเป็นวันแห่ง ความรักของฝรั่ง ก็ยังมีหนุ่มสาวจำนวนมากไป ขอพรจากรูปเคารพ “ตรีมูรติ” ส่วนความเชื่อในประเทศไทย ตรีมูรติ ในประเทศไทยในยุคปัจจุบัน เชื่อมโยงไปครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พระตรีมูรติเป็นเทพผู้อารักขาวังเพชรบูรณ์ (เพชรบูรณ์)ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย พระราชโอรสองค์ที่ 72 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปัจจุบันคือ สถานที่ตั้งของห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ ถ.ราชประสงค์ ซึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการทิ้งระเบิดในเขตกรุงเทพมหานคร และบริเวณที่ตั้งวังเพชรบูรณ์ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งถูกถล่มด้วยระเบิด มีเรื่องเล่าว่าแม้สถานที่ของวังฯ จะโดนระเบิดทิ้งลงมา แต่ระเบิดกลับไม่ทำงานหรือด้านไม่สามารถสร้างความเสียหายแก่วังเพชรบูรณ์ได้ สร้างความแปลกใจให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก เทวาลัย สำหรับสักการะพระตรีมูรติในปัจจุบันย้ายมาตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของห้างสรรพสินค้าอิเซตัน ใกล้กับศาลพระพิฆเนศวร
มีความเชื่อว่าพระตรีมูรติเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก สามารถดลบันดาลให้ คู่รักชาย-หญิง สมหวังในความรักนั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่เป็นธรรมเนียมที่นิยมปฏิบัติ ทุกคืนในวันพฤหัสบดี เวลาประมาณ 21.30 น. บรรดาผู้ที่อยากสมหวังในความรักจะมาอธิษฐาน เพื่อให้ตนเองได้รับความสมหวังในความรักที่ปรารถนา ด้วยความเชื่อที่ว่า เวลา 21.30 น.ของวันนั้นมหาเทพจะเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อรับคำอธิฐาน เราจึงพบว่าในสังคมไทยพระตรีมูรติได้รับความนับถือในฐานะเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก
|
|
|
|
บทสวดขอพรพระตรีมูรติ
สาธุ สาธุ สาธุ อุกาสะ ข้าแต่องค์พระตรีมูรติที่ยิ่งใหญ่ข้าพเจ้า นาย,นาง............................( บอกชื่อ นามสกุลและที่อยู่ ) กราบเบื้องบาทแด่องค์ท่านแล้ว พระองค์เคยประทานพรแด่ทวยเทพทั้งหลาย ผู้ปฎิบัติดี ผู้ปฎิบัติชอบทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้ามากราบเบื้องบาทแด่พระองค์ท่านแล้ว จึงขอพรจากพระองค์ซึ่งประทานไว้ ณ บัดนี้ ( .....ขอพร..... ) เตสัง อัมหากัง พรใดอันประเสริฐจงมาบังเกิดแด่ข้าพเจ้า ตุมหากัง และจงบังเกิดแด่ผู้คุ้มครองข้าพเจ้า ฑีฆายุกา มหาเดชา มหาปัญญา มหาโภคา มหายะสา มหาลาภา ปัญจวีสติ ภยันจะ ทวัตติงสะ ฉันนะวุฒิติโรคัญจะ โสระสะ อุบัติอันตรายยัญจะ อัยยัญติกะ อันตรายยัญจะ พาหิระ อันตรายยัญจะ วิระหิตะวา โหตุ ยาวะชีวัง พระวิสตีติ ( พระตรีมูรติ ) คำสวดบูชา พระตรีมูรติ คือ คำว่า “โอม” ที่ทุกคนทั่วโลกรู้จักกันดี มีที่มาจาก “ อะ” เสียงท้ายของคำว่า ศิวะ “อุ ” เสียงท้ายของคำว่า วิษณุ “ มะ ” เสียงท้ายของคำว่า พรหม การเอ่ยคำว่า “โอม” จึงเท่ากับเป็นการเอ่ยนามของเทพทั้งสาม ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ได้รับพรอันประเสริฐจากเทพเจ้า ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “โอมเพี้ยง” ในความหมายของการอธิษฐานขอให้เทพเจ้าทั้งสามบันดาลให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นจริง ยามใดที่เราอยากให้ความฝันเป็นจริง เรามักอธิษฐานจนติดปากว่า “ โอมเพี้ยง...ขอให้ ( คำขอพร) ” ดังนั้นเราจึงมีองค์ศิวะ องค์พรหม องค์วิษณุนารายณ์ระลึกอยู่ในจิตใจตลอดเวลา
วิธีการบูชาองค์ “ตรีมูรติ”
ธูปแดง๙ ดอก, เทียนแดง, ดอกกุหลาบแดง และ ผลไม้ ขอให้ท่านตั้งจิตเป็นกุศล และขอพรจากองค์พระตรีมูรติในเรื่องที่ดีงาม ถูกต้องตามทำนองครองธรรม พรนั้นก็จะสัมฤทธิ์ผลตามต้องการ ขออำนาจองค์พระตรีมูรติจงคุ้มครอง และบันดาลให้ท่านสมความปรารถนาทุกประการ
|
|
|
|
|
|
ในการบูชาเทพนั้น ต้องมีจิตใจที่ตั้งมั่น เชื่อในเทวานุภาพซึ่งมีอยู่จริง ในทางวิทยาศาสตร์อาจจะเรียกว่า “พลังจักรวาล” ซึ่งชาวอารยันแต่โบราณนั้นได้แปรเอานามธรรมเหล่านี้มาในรูปของบุคลาธิษฐาน มีพระนามหลายพระนาม เทพเหล่านี้มีพฤติกรรมและอุปนิสัยใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ดังนั้น ลัทธิการบูชาที่เป็นมาแต่โบราณนั้น ก็เพื่อที่จะทำให้เทพเหล่านั้นมีความพึงพอใจ เพื่อที่จะได้ประทานพรตามคำอธิษฐานขอในแต่ละครั้งให้ลุล่วงสำเร็จด้วยดี เทพแต่ละพระองค์ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็ตาม ล้วนแต่ต้องเริ่มที่การสวดมนต์ภาวนาด้วยกันทั้งสิ้น การสวดมนต์จึงเท่ากับการปูพื้นฐานในการปฏิบัติสมาธิ เพื่อที่จะเข้าถึงเหล่าทวยเทพนั้นได้
การสวดมนต์ให้ได้ผลในการบูชาเทพในสายฮินดูนั้น ต้องเริ่มต้นที่พระพิฆเนศก่อน เพราะตามประเพณีโบราณนั้นพระพิฆเนศคือเทพพระองค์แรกที่ต้องได้รับการกราบไหว้บูชา จากนั้นจึงจะตามด้วยการกราบไหว้บูชามหาเทพและมหาเทวีเรื่อยไปจนถึงเทพพระองค์อื่น ด้วยถือว่าหากผิดจากธรรมเนียมปฏิบัตินี้แล้ว ถือว่าการบูชาย่อมไม่ได้ผล ว่าไปแล้วพระพิฆเนศคือสุดยอดแห่งมหามงคลในการขจัดอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง พูดง่ายๆ ก็คือ ทรงเป็นเทพเพื่อช่วยในการเคลียร์พื้นที่ให้ก่อนนั้นเอง เพื่อที่จะทำให้พิธีกรรมต่างๆลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติหรือศาสนาใด ก็มีที่พึ่งและยึดเหนี่ยวทางจิตใจเช่นกันและทุกๆศาสนาก็สอนให้ทุกๆคนเป็นคนดีและเกรงกลัวในกฏแห่งกรรม
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://sites.google.com , http://www.srichinda.com/ ภาพจากอินเตอร์เน็ต
|
|